จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | 1 ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | พระมหากษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ไฮไลท์ |
เหรียญพระเจ้าพรหมมหาราช หลังหลวงพ่อบุญเย็น รุ่นผ้าป่า 2521 สำนักพระเจ้าพรหมมหาราช จ.เชียงใหม่
|
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
เหรียญพระเจ้าพรหมมหาราช หลังหลวงพ่อบุญเย็น รุ่นผ้าป่า 2521 สำนักพระเจ้าพรหมมหาราช จ.เชียงใหม่
เหรียญ ผ่านสภาพการใช้งาน เนื้อทองแดง
ด้านหน้าเป็นรูปพระเจ้าพรหมมหาราช ด้านหลังของเหรียญเป็นรูป หลวงพ่อบุญเย็น ขนาดครึ่งองค์
หลวงพ่อบุญเย็น ในอดีตชาติปางก่อนเคยมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าพรหมมหาราช ดังนั้น ทุกครั้งที่หลวงพ่อบุญเย็น จะประกอบพิธีปลุกเสกเหรียญ
หรือพระเครื่อง วัตถุมงคล ท่านต้องทำพิธีอัญเชิญ "พระเจ้าพรหมมหาราช" ร่วมพิธีด้วยทุกครั้ง เหรียญทุกเหรียญของท่าน ต้องมีรูปพระเจ้าพรหมมหาราช ที่ด้านหลังเหรียญเสมอ
และที่สำคัญที่สุดคือ เหรียญที่ท่านเป็นผู้สร้างขึ้นนี้ ท่านไม่เคยจำหน่ายเลย มีแต่แจกฟรีทุกเหรียญ
ทุกคนที่ได้เหรียญรุ่นนี้ของท่านไปต่างมีความหวงแหนเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีอานุภาพในทางคุ้มครองป้องกันตัวเป็นเลิศ นอกจากนี้ ยังอุดมไปด้วยโชคลาภอย่างน่ามหัศจรรย์
=============================
ประสบการณ์ วัตถุมงคล หลวงพ่อบุญเย็น ฐานธัมโม แห่งสำนักพระเจ้าพรหมมหาราช
คอลัมน์ หลังเลนส์ส่องพระเอกอุกลับมาโด่งดังในห้วงนี้ เพราะประสบการณ์จากผู้นำไปพกพาอาราธนาติด ตัวแท้ๆ "เหรียญรุ่นปี 2517
ของ หลวงพ่อบุญเย็น ฐานธัมโม" แห่งสำนักพระเจ้าพรหมมหาราช อ.ฝาง จ.เชียงใหม่
"ด.ต.สมบูรณ์ จอมกิจ" ซึ่งอาราธนาเหรียญหลวงพ่อบุญเย็น ติดตัวเสมอมา เพราะได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ให้ประจักษ์มากมาย เช่น "ตอนที่ผมได้เห็นคนผีเข้า ซึ่งญาติได้พยายามหาหมอผีเก่งๆ มาปราบ แต่ก็ไม่สำเร็จ แต่เมื่อมีผู้นำเหรียญ "หลวงพ่อบุญเย็น" รุ่นนี้ไปแช่น้าอธิษฐานทำน้ำมนต์ไปพรมผู้ที่ถูกผีเข้า ปรากฏว่าผีนั่นแหละที่ต้องเป็นฝ่ายเผ่นหนี"
"ด.ต.สมบูรณ์" ได้เล่าถึงประสบการณ์ชีวิตของตนว่า ในชีวิตเคยผ่านการเกณฑ์ทหารมา 2 ปี แล้วมาเป็นตำรวจตระเวนชายแดน และเหรียญรุ่นพ.ศ.2517 นี้ ได้ช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดจากภยันตรายต่างๆ ตลอดมา กล่าวคือ เหตุการณ์ถูกฝ่ายตรงข้ามลอบทำร้าย มักจะเกิดขึ้นก่อนหรือไม่ก็หลังจากผู้เล่านำกำลังเคลื่อนที่ผ่านพ้นไปแล้วเสมอ
อีกเรื่องหนึ่งเคยมีแพทย์อาสาสมัครขึ้นไปบนดอย แล้วถูกยิงด้วย เอ็ม-16 เป็นชุด แต่คมกระสุนก็สามารถสร้างได้เพียงจ้ำแดงเหมือนผื่นเท่านั้น.
(ขอบคุณข้อมูลจากข่าวสด)
================================
พระเจ้าพรหมมหาราช (มหาราชองค์แรกของชาติไทย)
ประวัติ: เป็นกษัตริย์ผู้ฉลาดและเก่งกาจในการสงคราม.
วีรกรรม: ขับไล่ขอมจนแตกพ่ายและได้สร้างเมืองไชยปราการในยุคปัจจุบัน (อำเภอชัยปราการ จังหวัดเชียงใหม่).
ความเชื่อ: ได้รับการขนานนามว่าเป็นมหาราชองค์แรกของชาติไทย และมีการขอพรในด้านความสำเร็จในหน้าที่การงานและการเอาชนะอุปสรรคต่าง
ตามคำบอกเล่าของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านได้เข้าฌานสมาบัติและระลึกชาติไปในอดีต และรับรู้ว่าพระเจ้าพรหมมหาราชกลับมาเกิดใหม่เป็นตัวท่านเองในชาตินี้
===================================
อดีตชาติของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
สมัยพระเจ้าพรหมมหาราช
พระราชพรหมยานฯ..เล่าให้ฟัง
..." มีสามเณรน้อยองค์หนึ่งอายุเพียง ๗ ปี บวชในพระพุทธศาสนา เณรองค์นี้ได้ฌานสมาบัติสูง.. ตอนเช้าทุกเช้าต้องขึ้นไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุบนดอยตุง.. แล้วออกบิณฑบาตกับคนที่อยู่ใกล้ ๆ บนยอดเขา..
~ สามเณร ทราบข่าวว่า บนพระธาตุจอมกิตติ เวลานั้นยังไม่มีพระเจดีย์ เขาเรียกว่า ดอยน้อย เท่านั้น.. องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยมาประทับที่นั่น แล้วฝังพระเกศาไว้ด้วยการอธิษฐานจิต..
~ เณรได้ฟังจากครูอาจารย์มา สามเณรนึกจะมานมัสการพระเกศาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..
~ เวลานั้น ขอมดำ ครองเมืองเต็มไปหมด คนไทยไม่มี จะมีอยู่บ้างก็เป็นคนไทยที่ขอมนำมาเป็นทาสเป็นคนรับใช้เขา..
* บางพวก หรือ ผู้หญิงผู้ชายไทย ขอมอยากได้ไปเป็นเมียเป็นผัว เขาก็เอาไปไว้.. การเป็นเมียทาส ตัวทาสต้องปฏิบัติตามเขา เป็นอันว่า คนไทยในที่นั้นมีบ้าง แต่ไม่มีอำนาจ..
~ สามเณรตั้งใจเดินธุดงค์ไปถึงดอยน้อย ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอธิษฐานจิต ฝังพระเกศาไว้ ถึงตอนเย็นแล้วก็ค้างคืนบนดอยน้อย พร้อมกับนมัสการ และเจริญพระกรรมฐาน..
* เวลากลางคืน เห็นรัศมีโชติช่วงพุ่งออกมาจากดอยน้อย เป็นรัศมี ๖ ประการ สวยสดงดงามมาก เณรก็เกิดธรรมปีติ มีความอิ่มใจ ชุ่มชื่นไปด้วยฌาน..
~ พอรุ่งเช้า สามเณรก็ออกบิณฑบาตตามปกติของผู้บวช ในพระพุทธศาสนา.. บรรดาชาวขอมทั้งหลายเห็นเณรองค์เล็กน่ารัก รูปร่างหน้าตาดี ผิวพรรณสดใส มีหน้าตาแช่มชื่นก็มีความรัก พากันใส่บาตร..
~ พอดีขอมดำนายใหญ่ เป็นพ่อเมือง ออกมาเห็นเข้า..
~ จึงได้ถามว่า : "เณร มาจากไหน"
~ พวกที่ใส่บาตร ก็บอกว่า : "เณรเป็นลูกคนไทย"
~ มันว่ายังไงรู้ไหม..
" ไอ้ลูกคนไทย ใจทาส ห้ามไม่ให้มันกิน ใครใส่บาตรไปแล้วเท่าไร จับบาตรมันเททิ้งไปให้หมด อย่าให้มันกิน ไอ้ไทยทาส นี่ อย่าไปคบหาสมาคมกับมัน.. ต่อไปห้ามเข้าเขตของขอม เมื่อมันอยากจะกิน ก็ให้มันกินของคนไทยด้วยกัน อย่ามากินของขอม"
~ ความจริง เขตนั้นเป็นเขตของคนไทย..
~ สามเณรน้อย ได้ฟังคำพูดของพระยาขอม ดังนั้น ก็รู้สึกสลดใจ สลดใจเพราะเธอได้ฌานสมาบัติ แต่เธอไม่ถึงกับเสียใจร้องให้ จึงได้มาคิดในใจว่า..
"โอหนอ คนไทยนี่เป็นเจ้าของประเทศ แต่ถูกขอมเนรเทศไป ขอมกลับคิดว่าคนไทยเป็นทาส"
* สามเณรคิดว่า.. ในเมื่อเขาไม่ให้ข้าวก็ไม่เป็นไร เณรไม่โกรธเพราะทรงฌาน และอาจจะมีวิปัสสนาญาณด้วย.. โดยเฉพาะในตอนกลางคืน เห็นฉัพพรรณรังสีมี ๖ ประการ ขององค์สมเด็จพระพิชิตมารพวยพุ่งออกมาจากพื้นดิน ก็ดีใจ..
~ เณรจึงกลับไปบูชาพระรัตนตรัยเสร็จ ขออนุมัติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า.. จะหาถ้ำที่ใดสักที่หนึ่งเป็นที่อาศัย ก็เดินไป ไม่ช้าก็เจอะถ้ำเล็ก ๆ ถ้ำหนึ่ง ก็นึกในใจว่า..
"เราเป็นหนี้คนไทย คนไทยก็คือปู่ย่าตายายของเราเอง ฉะนั้นตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะใช้ชีวิตของเราเป็นเครื่องสนองความดีของคนไทยทั้งชาติ จะไม่ยอมให้คนไทยตกอยู่ใต้อำนาจของขอมต่อไป..
.. เราไม่มีกำลังรบ เราไม่มีสรรพาวุธ อาวุธสำคัญของเรามีอย่างหนึ่ง ที่อง ค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้ นั่นคือ เมตตาบารมี ขอบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พรหมและเทวดาทั้งหมด และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย ขอได้โปรดช่วยให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส ให้พ้นจากการตกอยู่ภายใต้อำนาจของขอม"
~ แล้วสามเณรก็เข้าฌานสมาบัติ ตั้งจิตอธิษฐานว่า..
"ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะไม่ถอนจากฌานสมาบัติ.. จนกว่าชีวิตินทรีย์จะหาไม่ เราจะอาศัยณานเป็นธรรมปิด เมื่อทรงชีวิตได้ก็ทรงไป ทรงไม่ได้ก็แล้วไป..
.. แต่ถ้าบังเอิญจะพึงตาย เพราะอาศัยณานสมาบัติ ก็ขอบารมีขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร ได้โปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าได้มีโอกาสมาเกิดเป็นคนไทย และได้ช่วยคนไทยทุกแง่ทุกมุม ไม่ใช่เฉพาะกรรม การเศรษฐกิจ การปกครอง แม้แต่การรบ ทุกอย่างให้ครบถ้วน ให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส"
~ เวลานั้นเณรไม่ได้คิดพิฆาตเข่นฆ่าใคร ที่ตำนานเขาบอกว่า.. เณรเอาบาตรเป็นเทินหัวขอเกิดเป็นคนไทย ขอกลับมาฆ่าขอมน่ะ ไม่จริง.. ทำอย่างนั้นก็ลงนรก จิตเป็นบาป..
* เมื่อสามเณรเข้าสมาธิเจริญฌานสมาบัติ จิตใจไม่มีความโกรธชาวขอม จิตใจไม่มีจิตริษยา ไม่เอียงซ้ายไม่เอียงขวา จิตเป็นอุเบกขารมย์ มีอารมณ์เป็นหนึ่ง.. ทำไปสักครู่ ๑ - ๒ - ๓ นาที จิตก็ดิ่งจับฌาน ๔ เป็นปกติ.. เวลาล่วงไปสัก ๕ - ๖ ชั่วโมง จิตถอยออกจากฌาน ๔
~ มาตั้งอยู่ในอุปจารสมาธิ มองเห็นภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับยืนอยู่ข้างหน้า ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วตรัสว่า..
"มหาเถระ เธอปฏิบัติถูกแล้ว เธอมีจิตใจเมตตาปราศจากความอาฆาตมาดร้าย เธอทำใจดี การแผ่เมตตานี้ จะทำให้เธอเกิดเป็นพรหม.. ฉะนั้นเธอจงตั้งจิตอธิษฐานต่อไป เวลานี้มีความสำคัญ เมื่อจิตออกจากฌาน ๔ มาตั้งอยู่ใน อุปจารสมาธิ เธอจงตั้งสัตยาธิษฐานใหม่อีกครั้งหนึ่ง อันนี้จะมีผล"
~ แล้วภาพขององค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็หายไป..
~ ตอนนี้ สามเณรน้อยดีใจนัก เกิดธรรมปีติที่เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสวยสดงดงาม พร้อมไปด้วยฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ.. ความมั่นใจในคำสอนขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาก็มากขึ้น จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า..
"ด้วยอำนาจบุญบารมี ความดี ที่ข้าพเจ้าทำมาแล้วในอดีตชาติ จนถึงปัจจุบันก็ดี และขออำนาจบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ และพระอริยสงฆ์ก็ดี ขอทุกท่านจงโปรดให้คนไทยทั้งหมดมีความสุข มีความอุดมสมบูรณ์ พ้นจากภัยอันตรายที่จะพึงมีจากขอม..
.
. ถ้าหากว่า ข้าพระพุทธเจ้าจำจะต้องกลับมาเกิดอีกครั้งหนึ่ง ขอเกิดเป็นคนไทย ขอให้ได้ช่วยคนไทยทุกคนมีความสุข ตามกำลังกฎของกรรม..
๑. ขอให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส
๒. ขอให้คนไทยมีอำนาจในการปกครองตนเอง
๓. ขอให้ข้าพระพุทธเจ้ามีปัญญา ทั้งการเกษตร การคลัง การปกครอง ทุกอย่างแม้แต่การรบ
๔. ขอให้ช่วย ให้คนไทยทุกคนมีความสุข มีอิสรภาพ ปราศจากความเป็นทาสของบุคคลผู้ใด ไม่เลือกชาติไม่เลือกวรรณะไม่เลือกตระกูล
๕. ขอให้คนไทยมีความเพิ่มพูนความสุขสดชื่น มีความหรรษา
๖. ขอมวลหมู่พรหม และเทวดาทั้งหลาย ได้โปรดกรุณาเป็นคู่บารมี
๗. ขอองค์สมเด็จพระชินสีห์ ได้ทรงโปรดช่วยตักเตือนข้าพระพุทธเจ้า ถ้ากิจนั้นจะพึงพลาดไป"
~ เมื่อเณรน้อยอธิษฐานต่อองค์สมเด็จพระชินสีห์แล้ว ก็เริ่มเข้าฌานใหม่ ปรากฏว่า.. วันเวลาผ่านไป ๗ วัน ร่างกายขาดอาหาร ชีวิตทรงอยู่ด้วยอำนาจของธรรมปีติ ก็คิดว่า.. จะนั่งกรรมฐานเข้าฌานจนตาย..
* ในที่สุด วันที่ ๗ เณรก็ตายด้วยฌาน ๔ ฉะนั้นสามเณรองค์นี้จึงขึ้นไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๑
~ พอไปเกิดเป็นพรหมได้ครู่เดียว ก็มีพรหมชั้นผู้ใหญ่ทรงความเป็นพระอนาคามี มีนามว่า.. "ผกาพรหม" เข้ามาหาแล้วเรียกว่า.. "สัมภเกษีพรหม" ท่านท้าวพกาพรหมมาบอกว่า..
"ก่อนที่ท่านจะมาเป็นพรหม ท่านตั้งใจจะให้คนไทยมีความสุข ท่านเป็นไทย เวลานี้ท่านจะมาเสวยความสุขอยู่เฉพาะผู้เดียวโดยไม่เหลียวแลคนไทย ที่อยู่ข้างหลังนั้น ไม่เป็นการสมควร..
.. ถ้าจะนับตั้งแต่ท่านออกจากกายสามเณร มาเป็นพรหมก็เห็นจะเป็นเวลาล่วงไปปีเศษ พระเจ้าพังคราช มีราชโอรสองค์แรกไปแล้ว ชื่อ.. "ทุพภิกขกุมาร" เกิดในท่ามกลางความทุกข์มาได้ ๓ ปีแล้ว.. มารดามีความสุข สมควรที่ท่านจะลงไปเกิดเป็นลูกชายพระเจ้าพังคราช แล้วช่วยกู้ชาติไทยให้ปลอดภัยจากความเป็นทาส"
* หลังจากนั้น ท่านผกาพรหม ก็ประกาศถามว่า..
"พรหมองค์ใดบ้าง ที่นับถือพระพุทธศาสนา เคยเกิดเป็นคนไทยมาก่อน จะลงไปช่วยคนไทย ที่มีความเร่าร้อนให้มีความสุข"
~ ก็มี พรหมอีก ๒๕๐ องค์ บอกว่า.. จะไปเกิดพร้อม ๆ กันเป็นสหชาติ จะคลาดเคลื่อนจากการเกิดบ้าง ก็ก่อนหลัง ๓ วัน..
~ เป็นอันว่า.. สัมภเกษีพรหม ไปเสวยสุขวิหาร บนพรหมชั้นที่ ๑๑ เพียงครู่เดียว เวลาในเมืองมนุษย์ก็ผ่านไป ๑ ปีเศษ..
* เมื่อท่านผกาพรหมมาเตือนแบบนั้น และมีพรหมอีก ๒๕๐ ท่าน รับจะลงมาช่วยกัน และมีพรหมอีก ๓ ท่าน บอกว่า.. จะมาช่วยเกิดเป็นช้างคู่บารมี.. เมื่อตกลงกันแล้ว ต่างคนต่างก็อธิษฐาน ขอจุติ ละจากอัตภาพการเป็นพรหมลงมาเกิดเป็นลูกคนไทย..
~ ขอเล่าลัดตัดความ มาถึงเด็กชายพรหม ตอนเป็นเด็กชอบเล่นยุทธวิธีเอาสหชาติ ๒๕๐ คนมาเล่นรวมกัน ชอบการรบ เอาไม้มาทำเป็นอาวุธบ้าง ทำม้าขี่บ้าง ทำหน้าไม้บ้าง..
~ สมมติขึ้นเล่น กองทัพช้างกองทัพม้า กองทัพราบ เล่นขนเสบียงอาหาร เล่นการเกษตร ทำโรงงานสร้างอาวุธบ้าง.. สมมติเอา สมมติว่า.. นี่เป็นเหล็ก เป็นทองคำ นี่เป็นเงินเป็นอะไรก็ตาม.. บรรดาผู้ใหญ่เห็นเด็กเล่นแบบนี้ก็ชื่นใจในยุทธวิธีของเด็กอย่างคาดไม่ถึง ก็เป็นเรื่องแปลก..
~ อย่างเล่นสมมติว่า.. ถ้าข้าศึกมีฝีมือดีกว่า หนังเหนียว เราจะรบกับข้าศึกอย่างนี้ เราจะทำยังไง นั่นคือการฝึกกระโดดสูง กระโดดข้ามรั้ว และให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระโดดข้ามหัวคนได้แบบสบาย ๆ
~ แล้วฝึกตีข้าศึก ที่ท้ายทอยด้วยสันดาบ เวลารบยั่วข้าศึก เปิดจังหวะให้ข้าศึกฟัน พอข้าศึกโถมตัวเข้าฟัน ก็หลบแล้วกระโดดขึ้นสูง ตีท้ายทอยด้วยสันดาบ วิธีนี้เขาก็เล่นกัน..
* พออายุเกือบ ๑๐ ปี เริ่มใช้มันสมอง คือเมื่อติดตามพระราชบิดาไปไหน ก็มักจะถามว่า.. "นี่เขาทำอะไรกัน" ตอนนั้นการทำพืชพันธุ์ธัญญาหารก็ดี แร่ก็มีมาก ทองคำก็ได้มาก การทำพืชพันธุ์ธัญญาหารเวลานั้นทำในพื้นที่แคบ ๆ พรหมกุมารจึงได้กราบทูลสมเด็จพระราชบิดาว่า..
"การปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร จะหวังแต่น้ำฝนอย่างเดียวก็ไม่พอ ถ้าจะให้อุดมสมบูรณ์กว่านี้ น่าจะขุดบ่อเป็นที่เก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง จะได้ปลูกพืชได้ ควรขุดบ่อใหญ่ ๆ"
~ เวลาที่เด็กคนนี้ พูดกับพ่อคือ พระเจ้าพังคราช คนเขาก็นั่งล้อม เขาก็ได้ฟังด้วย ทุกคนก็เห็นชอบด้วย.. นี่เป็นประชาธิปไตยแท้ ไม่ใช่คณาธิปไตย บรรดาประชาชนฟังแล้วก็เข้าใจและเห็นชอบด้วย ก็ส่งข่าวกันออกไปว่า.. พวกเราเด็กชายที่จะมาทำให้เรามีความสุขให้ขุดบ่อใหญ่ ๆ ไว้เก็บกักน้ำไว้ จะได้ใช้ในฤดูแล้ง ปลูกผักได้ วัวควายจะได้กินน้ำได้ คนก็ใช้น้ำได้ด้วย ทำไร่ทำนาได้..
~ ประชาชนทุกกลุ่มทุกหมู่บ้าน พากันขุดบ่อไว้ เวลาฝนตกน้ำหลากมาน้ำก็เต็มบ่อ เวลาฝนหมดไปแล้วน้ำก็ยังมีอยู่ใช้สะดวก ปลูกผักสวนครัวเลี้ยงสัตว์กันตอนนี้อุ่นหนาฝาคั่ง..
* เมื่อ พรหมกุมาร อายุได้ ๑๒ ปี.. คืนวันหนึ่งมีเทวดามาเข้าฝันว่า.. วันรุ่งขึ้นให้ไปที่แม่น้ำโขง จะมีช้างเผือก ๓ เชือก ถ้าจับช้างเชือกที่ ๑ ได้ จะเป็นจ้าวโลก.. ถ้าจับเชือกที่ ๒ ได้จะปราบชมพูทวีปได้หมด.. ถ้าจับเชือกที่ ๓ ได้จะปราบขอมได้หมด..
~ พอตื่นขึ้นมา ก็กราบทูลให้พระราชบิดาทราบ และพระราชบิดาก็มีความเชื่อมั่นว่า ลูกชายคนนี้มาจากพรหม จะต้องมีเทวดาประคับประคอง.. จึงอนุญาตให้ไปดักช้างเผือกได้..
~ ตอนสาย พรหมกุมารก็ออกไปดักช้างตามความฝัน.. แทนที่จะเห็นช้างก็กลับเป็นงูหงอนแดง ตัวขาวโพลน ใหญ่โตมาก.. พรหมกุมารกับเพื่อน ๆ คิดว่า.. เรามาคอยช้าง แต่นี่เป็นงูหงอน ก็ไม่เอา.. ตัวที่ ๒ มา เป็นงูหงอนแบบเดียวกันอีก แต่ขนาดย่อมลงไปหน่อยก็ปล่อยไปอีก..
* ตัวที่ ๓ ก็มาแบบเดียวกันอีก.. ก็เลยตัดสินใจ.. งู ก็ งู ก็มีบัญชาบอกเพื่อนสหชาติลงจับล่ะ ก็โผลงไปในน้ำโดดจับคอ.. งูหงอนก็กลายเป็นช้างเผือก ขาวโพลน เดินทวนน้ำมาได้ น้ำกำลังไหลหลากมาก ที่นั่นจึงมีนามว่า.. "บ้านควาญทวน"
* ตอนนี้ ช้างไม่ยอมขึ้นฝั่งล่ะซิ ขับไสอย่างไรก็ไม่ยอมขึ้น.. พรหมกุมารจึงให้สหชาติไปกราบทูลพระราชบิดาให้ทรงทราบ.. พระองค์ก็เรียกโหรมา โหรบอกว่า.. "ต้องเอากระพังทอง ( ภาชนะสำหรับใส่น้ำทำพิธีต่าง ๆ ตามลัทธิไสยศาสตร์ ) ไปตีล่อ จึงขึ้นมา"
* พระเจ้าพังคราช จึงจัดให้คนแต่งตัวสวย ๆ ถือดอกไม้ธูปเทียนเครื่องสักการะ จัดเป็นขบวน ไปถึงกราบไหว้เชิญพระยาคชสาร แล้วตีกระพังทอง ช้างก็เดินตามกระพังทองขึ้นมา แบบสบาย..
* พอมาถึงที่ ก็จัดพิธีทำขวัญ ช้างพลายประกายแก้ว ซึ่งมีสีขาวโพลน ตามลำตัวมีประกายระยับคล้ายแก้ว สวยสดงดงาม จึงทำเครื่องประดับครบเครื่องทรง และปล่อยอิสระ ไม่มีการใส่ปลอก รางที่ใส่หญ้าให้กินก็ทำด้วยทองคำ ปล่อยเข้าป่าสบาย ๆ
~ สัตว์ในป่าทั้งหมด กลัวช้างพลายประกายแก้ว ยอมหมอบราบคาบแก้ว มีช้างป่าที่อยู่ในป่ามาร่วมเป็นสหชาติด้วย โดยไม่ต้องไปต่อไปดึงมา.. ช้างพลายประกายแก้วเป็นหัวหน้า พาโขลงช้างเข้ามาในเวียง ทุกคนดีใจมาก ที่มีช้าง มีม้าการฝึกง่ายมาก พูดภาษาคนธรรมดาก็รู้เรื่อง..
* เมื่อ พรหมกุมาร อายุได้ ๑๖ ปี พระเจ้าพังคราชก็ให้แต่งงาน มีภรรยาเป็นหลักฐาน ต่อมาท่านก็ทำงานใหญ่ กราบทูลพระราชบิดาว่า..
"คนไทย ขืนเป็นทาสของขอมต่อไป ความเป็นไทก็ไม่มี เราก็ไม่มีความสุขเพราะเขาบีบคั้นเรา ทองคำ ๒๐ ชั่งต่อปี ให้เขาไป ๑๐ ปีก็ ๒๐๐ ชั่ง เราหามาด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน ก็ไม่น่าจะให้เขา แต่พระราชบิดากล่าวว่า.. "เราเป็นผู้แพ้เขานี่ลูก"
~ พรหมกุมาร ลูกชาย จึงกล่าวว่า.. "ต่อไปนี้ เราจะไม่เป็นผู้แพ้ ดินแดนของเราอยู่เพียงไหน เราจะยึดเอามาให้หมด แล้วจะยึดพื้นที่เพิ่มอีกไม่น้อยกว่า ๔ เท่า..
~ พระราชบิดา ก็กล่าวว่า.. "ตั้งแต่ลูกเข้า มาสู่ครรภ์แม่ คนไทยเขาก็เป็นนักรบกันหมดแล้วลูก เขาฝึกเรื่องอาวุธกันเป็นอย่างดี"
~ พอดี มีคุณยายคนหนึ่งอายุ ๘๐ ปี แล้ว ลุกขึ้นคว้าขวานชูขึ้นบอกว่า..
"หลานเอ๋ย ถ้ายายจะต้องตายเพราะฆ่าขอมให้ตาย ยายพร้อมตายเพื่อความเป็นไท" แล้วยายก็แกว่งขวานให้ดู..
* เป็นอันว่า คนไทยทุกคนต้องการอย่างเดียวว่า.. เด็กชายพรหม จะเอาอะไร เขาพร้อม.. เมื่อเด็กชายพรหมต้องการให้คนไทยทุกคน มีชีวิตเป็นทหาร.. บรรดาแม่ทัพนายกองเก่า ๆ ทั้งหลายเขาฝึกอาวุธไว้แล้ว และคนไทยทุกคนก็พร้อมอยู่แล้ว จึงร่วมกันฝึกอาวุธทันที ฝึกกันเป็นหย่อม ๆ แต่ต้องปิดบังขอม..
* ยุทธวิธี แบ่งเป็น พลม้า พลช้าง พลราบ พลหอก พลดาบ พลธนู แยกย้ายกันออกไปฝึก ไม่ต้องเกณฑ์ เขามาฝึกกันเอง ด้วยกำลังใจ..
~ เด็กชายพรหม ก็ปรึกษาพระราชบิดา ต่อหน้าประชาชนว่า..
"ถ้าเราจะรบกับเขานี่ ถ้าเวลาฤดูแล้งเขาปิดน้ำ เราตาย เราควรจะขุดสระใหญ่ ๆ ไว้ในบริเวณของเรา สัก ๑๗ สระ สมมติว่า.. ถ้าเราจะถูกกักบริเวณสัก ๑ ปี น้ำของเราจะพอกินพอใช้ก่อนฤดูน้ำหลากมา..
.. ทำเกษตรก็ได้ และอีกประการหนึ่ง เราจะต้องสะสมอาหารไว้ให้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีข้าวกับเนื้อสัตว์เค็ม ถ้าเกิดรบกันขึ้นมาอาจจะต้องใช้เวลาเป็นปี เราจะได้ไม่ขาดอาหาร"
~ เมื่อชาวบ้านได้ยินลูกชายพูดกับพ่อ ก็เหมือนได้รับคำสั่ง ต่างคนต่างไปขุดสระและเชื่อมน้ำติดต่อกันทุกสระด้วยสำรางเล็ก ๆ แล้วขุดลำรางเชื่อม จากแม่น้ำโขงกับสระใหญ่..
~ เมื่อน้ำเต็มสระใหญ่ ก็ไหลไปสระเล็ก ทุกสระเต็มไปด้วยน้ำ เมื่อเตรียมการเสร็จ พรหมกุมารก็กราบบังคมทูลพระราชบิดาว่า.. แต่แต่นี้ไป ไม่ต้องส่งส่วยขอมดำอีกแล้ว" พูดต่อหน้าประชาชน..
~ พระราชบิดาก็เตือนว่า..
"ลูกรัก พลรบ คือทหารของเขา มันเท่ากับพลเมืองของเราทั้งหมดนะลูกนะ"
~ ลูกชายพรหม จึงกราบบังคมทูลพระราชบิดา ว่า..
"เรื่องการรบ การแพ้หรือชนะ ไม่ได้อยู่ที่กำลังพล ถ้ารบกันด้วยกำลังคน หรือกำลังอาวุธ ก็ถือว่า.. เป็นการแพ้ชนะ ที่ไม่เด็ดขาด การรบจริง ๆ ต้องใช้กำลังคนด้วย กำลังปัญญาด้วย กำลังความสามัคคีด้วย ความเด็ดเดี่ยวด้วย.. ลูกมั่นใจว่า การรบคราวนี้ ถ้าจะพึงมีขึ้น เราชนะ"
~ พระเจ้าพังคราชก็ตามใจ เพราะเชื่อโหร ท่านไปถามพระยาโหราธิบดีว่า.. "ว่ายังไง"
~ โหรก็ยิ้ม และตอบว่า.. "เห็นชอบด้วยกับพรหมกุมารพระเจ้าข้า และเวลานี้ก็ถึงเวลาที่ไทยจะเป็นอิสระ"
~ แล้วโหรก็ลงเลขฉับ ๆ ตอบว่า.. "เรื่องการรบแพ้สงคราม ไม่มี"
* เท่านั้นเอง ประชาชนลุกขึ้นไปกระจายข่าวว่า.. "ไทยเตรียมรบ ไทยจะไม่เป็นทาสขอม ไทยจะไม่ให้ทองคำแก่ขอม เราพร้อมรบ"
~ คนไทยทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส รื่นเริง คอยเวลานี้มา ๑๖ ปีแล้ว เมื่อไรจะลั่นกลองรบ ด้วยวาจาของพรหมกุมาร..
* เจ้าขอมดำ มันรู้ว่า แข็งเมืองเพราะไม่ส่งส่วย ก็จัดแจงยกกองทัพมาปราบเรา หวังเผด็จศึกให้สิ้นซากไป ฝ่ายคนไทยพร้อมอยู่แล้วนี่ ก็จัดกองทัพออกไปทันที..
* การยกกองทัพไปครั้งนั้น มี ช้างพลายประกายแก้ว นำทัพ พรหมกุมาร ประทับนั่งทรงเครื่องแม่ทัพสวยงามสง่าผ่าเผยมาก สำหรับพระราชบิดา ประทับบนหลังช้างอีกเชือกหนึ่ง มีเศวตฉัตรกันเป็นจอมทัพ มีแม่ทัพนายกองแต่งตัวสวย ๆ
~ เพราะ พรหมกุมารได้กราบทูลพระราชบิดาว่า..
"นักรบทุกคน ต้องแต่งตัวสวย เป็นการตัดไม้ข่มนาม ข่มกำลังใจกัน ไปในตัวเสร็จ"
* พลทหาร ใช้เกราะเงินแกมทอง.. นายทหาร ใช้เกราะทอง.. แม่ทัพใช้เกราะทองประดับเพชร.. มันเป็นการสง่าผ่าเผย.. ทำให้ข้าศึกครั่นคร้าม เป็นจิตวิทยาอันหนึ่ง แม้จะมีการรบ เราก็พร้อมรบพร้อมรุก แต่งตัวสวยสะโอดสะอง..
* ขอมยกทัพมา มีกำลังมากกว่าเรา ๔ เท่า แม่ทัพยิ้ม.. สหชาติ ๒๕๐ ก็ยิ้ม..
~ ชี้ให้กันดูว่า.. "พวกนี้ไม่มีชีวิต เจ้าพวกขอมที่มากันนี่มันเป็นผีหมด ดูซิเครื่องแต่งกายมันสู้เราไม่ได้ เหมือนอสุรกายแท้ ๆ และมาอย่างเกณฑ์กันมา ของเราไม่มีการเกณฑ์ เรามาด้วยกำลังใจ การรบแพ้ชนะอยู่ที่กำลังใจเป็นสำคัญ เรามีความสามัคคีกัน มีความหวังดีกัน"
~ พรหมกุมาร จึงประกาศกับประชาชนว่า..
"ถ้าคนไทยจะพึ่งแพ้ แล้วก็ควรจะตายกันทั้งชาติ เพราะว่า.. ผืนแผ่นดินแห่ง "โยนกนคร" ทั้งหมด ตั้งแต่เชียงแสน มาถึง พะเยา เป็นของเราเดิม.. เวลานี้เราถูกจำกัดเขตให้อยู่ในแดนทุรกันดาร มีเนื้อที่นิดหน่อยประมาณแสนไร่เศษ แล้วคนของเรามีเท่าไร..
.. ขอมดำ ไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ แต่กลับมาเป็นเจ้าของพื้นที่ อิสรภาพของเราก็หมดไปและนอกจากนั้น เราต้องส่งส่วยทองคำให้เขาปีละ ๑๐ ชั่ง คิดเป็นเงินเท่าไร ถ้าเราจะเอาทองนั้นมาขายเลี้ยงคนของเราเอง ก็จะมีความสุข..
.. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนของเราเกิดขึ้นมาทุกวัน จำนวนคนมากขึ้น เนื้อที่ก็ดูเหมือนว่าจะแคบลง เมื่อเทียบกับจำนวนคนที่มากขึ้น.. เพราะเนื้อที่มันเท่าเดิม การทำมาหากินก็ลำบาก ต้องไปหากินในแดนไกลออกไป.. ดังนั้นการรบคราวนี้ เรารบเพื่อหวังประโยชน์ ๒ อย่าง..
๑. รบเพื่อหวังอิสรภาพ ไทยต้องเป็นไท
๒. เพื่อขับไล่ขอม ให้ออกไปจากแดนของประเทศไทย
.. การรบคราวนี้ ถ้าเพลี่ยงพล้ำ แพ้เขาแล้ว ไทยทั้งชาติจงอย่ามีชีวิตอยู่เลย และถ้าเราจะตาย ก็ควรจะตายจากอาวุธของข้าศึก.. ไม่ใช่ตายแล้ว จากการฆ่าตัวตาย..
.. เพราะการฆ่าตัวตาย หนีภัยจากข้าศึก มันเป็นความขลาด ของคนที่ไม่ใช่คนไทย เราต้องต่อสู้กับข้าศึก และต้องตายเป็นคนสุดท้าย.. ถ้าขืนเรามีชีวิตอยู่ขอมจะไม่ปรานีเรา เพราะอะไร..
.. อันดับแรก เขายึดพื้นที่ของเรา อันดับต่อมา เขากักบริเวณให้เราอยู่เป็นการทรมานให้เราหนีไปจากดินแดนที่เขาต้องการ หรือให้เราตายไปเพราะความลำบาก เขายื่นโยนความตายให้เราทีละน้อย ๆ
.. คนไทยทุกคน เคยมีบ้านสวยสดงดงาม ในโยนกนคร เคยมีอิสรภาพ เคยอยู่เป็นสุข จะกินก็มีความสุข จะนอนก็มีความสุข เป็นพื้นที่ที่มีความสบาย.. แต่หลังจากขอมยึดพื้นที่เราไป แล้วขับไล่เรามาอยู่ที่ "วังสีทอง" หรือ "เวียงสีทอง" มีขอบเขตจำกัด เรามีความรู้สึกยังไงบ้าง..
.. ขอบรรดา พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย นึกถึงความหลังว่า เดิมที่เราเคยมีที่อยู่ขนาดไหน มีบ้านใหญ่โต หรือ บ้านเล็ก อิสรภาพในการทำมาหากินของเรา เป็นไปโดยสะดวกหรือลำบาก พระราชาของเราเคยกดขี่ข่มเหงประชาชนชาวไทย เหมือนขอมดำหรือไม่..
.. ลูกเขาเมียใคร ที่มีเจ้าของอยู่ ขอมต้องการเมื่อไรเราต้องยื่นโยนให้เขา แต่สมัยที่เราปกครองกันเอง เป็นยังงั้นหรือเปล่า"
* เมื่อ พรหมกุมาร พูดอย่างนี้ คนไทยทุกคนมีความรู้สึกนึกถึงความหลัง พรหมกุมาร หรือ พระเจ้าพรหมมหาราช จึงประกาศต่อไปว่า..
"การรบคราวนี้ จงนึกถึงการรบคราวก่อน.. เราแพ้เขา ทั้งที่เราไม่ได้ไปรุกรานเขา.. ขอมดำ ยกทัพมารุกรานเราเอง เราแพ้เขา เขาใช้อำนาจทำกับเรายังไง.. ถ้าเราแพ้คราวนี้ ก็หมายถึงว่า คนทุกคนต้องตายอย่างทรมาน เพราะว่า.. เขาโกรธเรา ในฐานะที่เราแข็งเมือง..
.. ฉะนั้น ขอทุกคน จงรบเพื่อชัยชนะ แต่อย่ามีความประมาท.. ข้อสำคัญที่สุด คือระเบียบวินัย ฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา สั่งยังไงทำตามโดยเคร่งครัด เราจะชนะข้าศึกได้ คำว่าแพ้ จะไม่มีสำหรับคนไทย"
~ พอจบคำประกาศของพรหมกุมาร ก็มีเสียงโห่ร้องศึกก้องขึ้นมาทั้ง แผ่นดิน สะเทือนไปหมด.. พร้อมกันนั้นก็มีฝนตกลงมาเป็นฝอย แสงแดดจ้า เป็นเวลาเที่ยง ฝนละอองตกลงมาในอากาศ.. แสดงว่า บรรดาเทวดา พรหม ทั้งหลายให้พร.. เมื่อความมหัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างนั้น กำลังใจของคนไทยทั้งหมดก็มีความคึก เพราะเห็นว่า เทวดาช่วยเรา..
* พอกองทัพของขอมดำเข้ามาใกล้ มันยับยั้งจะตั้งค่ายแต่ยังไม่ทันจะตั้ง.. พอล้ำเขตไทยเท่านั้น พรหมกุมารก็ให้สัญญาณ ยิงธนูไฟทันที.. หน่วยกองโจรที่เลี้ยงควายบ้าง ขุดหัวเผือกหัวมันบ้าง ก็ยิงธนูไฟ ยิงธนูสังหารทันที.. มาจากสองข้างทาง..
~ พร้อมกันนั้น กองทัพทั้งหมด ก็บุกตะลุยทันที.. พรหมกุมาร ไสช้างพลายประกายแก้วสีขาวผ่อง และเนื้อเป็นประกายเข้าทันที.. บรรดาสัตว์พาหนะของข้าศึก เห็นช้างพลายประกายแก้วเข้า ก็กลัว วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต..
* ไอ้ขอม ที่อยู่บนหลังม้าคอช้าง มันจะอยู่ได้ยังไงเมื่อช้างม้ามันวิ่งหนี แม้แต่คนเดินก็เหมือนกัน กำลังใจเสียหมด.. กองทัพไทยจึงไล่ฟาดฟันขอมอย่างไม่ปรานี.. พวกที่ตายมากคือกองทัพราบ ตายเพราะถูกช้างม้าเหยียบตาย คนเหยียบกันตายมาก.. ที่ไม่ไหวก็ถูกคนไทยทั้งบุรุษและสตรี แต่เวลานั้นแต่งตัวเป็นผู้ชายหมด ไล่ฟันตายเสียนับไม่ถ้วน..
* ข้าศึกวิ่งหนีไม่ได้ยับยั้ง วิ่งเข้าเมืองโยนกนคร แล้วปิดประตูเมือง.. ช้างพลายประกายแก้ว ใช้งาแทงประตูพัง เลยบุกเข้าไปฟาดฟันข้าศึก..
* ตอนนี้ ภรรยา ( ท่านแม่ศรีใหญ่ ) ก็เป็นทหารไปรบด้วย ตามเข้าไป.. เสียท่าข้าศึกตอนจะเข้าประตูเมือง ข้าศึกมันแอบอยู่ข้างประตูเมือง มันใช้หอกแทงภรรยาตาย.. ตอนนี้ใครเป็นใครตาย เสียดายกันไม่ได้แล้ว..
* พรหมกุมาร เห็นเมียตายยิ่งโมโหร้ายใหญ่ ขับไสช้างพลายประกายแก้ว บุกฟาดฟันพังพินาศสันตะโร ข้าศึกเก็บของไม่ทัน ไล่ตีออกทางหลังเมืองตั้งตัวไม่ติด.. ของสักนิดเก็บไม่ได้ เพราะขืนเก็บก็ถูกฆ่าตาย หนีออกจากเมือง..
* กองทัพของพระเจ้าพรหม ติดตามไล่ข้าศึกไม่ลดละ ตีทั้งกลางวันกลางคืนไม่ยับยั้ง
* ถ้าถามว่า.. "กินข้าวที่ไหน" ก็ตอบว่า.. "นักรบทุกคน มีข้าวตากคั่ว ผสมเกลือเค็ม ๆ หวาน ๆ มีข้าวตากยังไม่คั่วด้วย มีกระติกน้ำ รบไปกินไปประทังชีวิต"
~ ได้รับคำสั่งอย่างเดียว.. "ขอมอยู่ที่ไหน ฆ่าให้หมด แม้แต่เด็กที่ออกในวันนั้น ก็อย่าให้เหลือเป็นเชื้อขอม" ( สรุป ขอม ไม่ใช่ เขมร )
* ตีไม่หยุด ๓ วัน ๓ คืน ขอมมันไม่ได้กินข้าว มันก็เพลีย ไปไหนไม่ไหว ช้าลง.. ถ้าช้าก็ตาย..
* แค่ ๓ วัน กองทัพม้ากองทัพช้าง ก็มาถึง "ทุ่งยั้งทัพ" ที่เวลานี้เขาเขียนไว้ว่า.. "บ้านยั้งทัพ" มาหยุดตรงนั้น พลราบตามไม่ทัน.. พระเจ้าพรหมมหาราช จึงสั่งยั้งทัพ เป็นการพักกำลัง แล้วเคลื่อนไปรวมกันที่.. "บ้านชุมพล" พักกันที่นี่ ๓ วัน..
~เป็นอันว่า.. ข้าศึกซึ่งมีกำลังมากกว่าเรา ๔ เท่า ต้องย่อยยับไป ทั้งนี้เพราะอาศัยคนไทย ตัดสินใจแน่นอนว่า.. การรบคราวนี้มีสองทาง ถ้าไม่ชนะ ก็หมายถึงว่า ตายทั้งชาติ..
~ เพราะเขาไม่เก็บเราไว้แน่ การรบต้องตัดสินใจแน่นอน คำว่า.. "ไม่กลัวตาย" ต้องมีอยู่ในใจ ถือว่าเป็นของธรรมดา การป่วยเจ็บไข้ไม่สบาย การตาย ถือเป็นธรรมดาของนักรบ แต่ว่าเราก็ต้องหวังผลจากการรบ คือ..
๑. ได้รับอิสรภาพ
๒. ได้รับเนื้อที่
๓. คนเบื้องหลัง มีความสุข
๔. คิดว่า เราสละชีวิตของเราหนึ่ง แต่ว่าเพื่อความสุขของคนเบื้องหลังอีกหลายเท่า อย่างนี้จึงจะเป็นนักรบได้
~ และการรบจริง ๆ ไม่ถือว่ากำลังเป็นสำคัญ กำลังคน กำลังอาวุธ มีความสำคัญ ถ้าไม่มี เราก็รบไม่ได้.. แต่ถ้ามีกำลังคนกำลังอาวุธ ถ้าขาดกำลังปัญญา มี
กำลังเท่าไร ก็แพ้เขาเท่านั้น..
~ ดังนั้น กำลังคนก็ดีกำลังอาวุธก็ดี และกำลังปัญญาก็ดี ๓ ประการนี้ต้องประสานกัน.. นอกจากนั้น กำลังสำคัญคือ กำลังเศรษฐกิจ
คือ เสบียงอาหาร กำลังใหญ่ก่อนออกรบ ก็คือ กำลังแห่งความสามัคคี..
~ คนไทยทั้งชาติ ควรจะตั้งอยู่ในสังคหวัตถุ ๔ มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีศรัทธาเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน..
~ มีศีลเสมอกัน.. หมายถึง ต่างคนต่างรักความสุข ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
~ มีจาคะเสมอกัน.. หมายถึง มีการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน สร้างความรัก สร้างความเป็นปึกแผ่น
~ มีศรัทธาเสมอกัน.. หมายถึง มีความเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ
~ มีปัญญาเสมอกัน.. หมายถึง ก่อนจะเชื่อ ใช้ปัญญาพิจารณาเสียก่อน ทุกคนถ้าอยู่ร่วมกันได้แบบนี้ ก็หมายถึงว่า เราทั้งชาติมีความสุขและไม่มีใครสามารถมาทำอันตรายเราได้..
* เมื่อกองทัพหน้า อันมี พระเจ้าพรหมมหาราช ตีขอมดำตะลุยไม่หยุดหย่อนเลย ตลอด ๓ วัน ๓ คืน ก็มาพักอยู่ที่.. "บ้านยั้งทัพ" แล้วเคลื่อนไปรวมพลที่.. "บ้านชุมพล" เห็นว่า ทะแกล้วทหารรวมตัวกันดี และทัพราบตามมาทัน มีการพักผ่อนพอสมควร..
~ ต่อมา ก็ขยายกำลังออกเป็นจุดเล็ก ๆ เพราะตอนนี้ขอมไม่อยู่เป็นจุดใหญ่แล้ว..
* ก็เก็บเล็กเก็บน้อย ขอมหมดแรง เจอะที่ไหน ฆ่าที่นั่น ขึ้นชื่อว่า ขอม ไม่ให้มีชีวิตอยู่เลย ( ขอม จึงไม่ใช่ เขมร ) ตอนนี้ต้องใช้เวลาถึง ๑ เดือน ก็มาถึงเมืองกำแพงเพชร..
* ตามตำนาน ท่านบอกว่า.. พระอินทร์ มาเนรมิตกำแพงเพชร กั้นเอาไว้.. ความจริงแล้ว ท่านเห็นว่า.. จะทำบาปมากเกินไป.. จึงให้วิษณุกรรมเทพบุตร มาทำให้ทหารทั้งหมด หมดกำลังใจ แม้แต่พระเจ้าพรหมมหาราชเอง คิดว่า การเก็บล้างขอมก็มากแล้ว แค่นี้ก็พอ..
~ เป็นอันว่า.. พระเจ้าพรหมมหาราชได้ขยายอาณาจักรของโยนกนคร.. จาก พะเยา ลงมาถึง กำแพงเพชร นี่ก็ไม่ใช่น้อย.. หลังจากนั้น ก็ยกกำลังกลับโยนกนคร..
* ประชาชนที่อยู่เบื้องหลังยืนถือดอกไม้ ธูปเทียน รับทัพพระเจ้าพรหมมหาราช ๒ ข้างทางด้วยอาการสงบ..
* พระเจ้าพรหมมหาราช กลับไปอัญเชิญพระราชบิดา ขึ้นเสวยราชสมบัติ ให้พี่ชายเป็นมหาอุปราช แทนที่ตัวจะเป็น ท่านเองก็มารักษาอยู่ที่กำแพงเพช ร.. บ้านเมืองโยนกนครก็เป็นสุขต่อไป.. เพราะขอมสิ้นไปจากแผ่นดินไทยแล้ว..
* อาณาเขตของ โยนกนคร เวลานั้นก็ขยายจาก พะเยามาถึง กำแพงเพชร ก็ไม่ใช่น้อย.. เวลานั้น พระเจ้าพังคราช มีอายุ ๔๒ ปี รวมเวลาที่เป็นทาสขอมอยู่ ๒๒ ปี คนไทยลืมตาอ้าปากได้ มีความสุข..."
จากหนังสือ *พ่อสอนลูก* หน้าที่ ๒๕~๔๑
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |