พระขุนแผน กุมารทอง สาริกาเรียกทรัพย์ ครูบาพิรุณ สิริจันโท วัดชัยมงคล จ.เชียงใหม่ (ใส่กรอบเงินพร้อมใช้งาน)

พระขุนแผน กุมารทอง สาริกาเรียกทรัพย์ ครูบาพิรุณ สิริจันโท วัดชัยมงคล จ.เชียงใหม่ (ใส่กรอบเงินพร้อมใช้งาน)

 

- องค์นี้พิเศษ มีแป้งเสก ครูบาพิรุณ ด้านหน้าองค์พระ

 

- เลี่ยมกรอบเงินผสม สวยงาม พร้อมใช้งาน (ไม่กันน้ำ)

 

==========================

 

พระขุนแผน กุมารทอง สาริกาเรียกทรัพย์ ครูบาพิรุณ สิริจันโท วัดชัยมงคล จ.เชียงใหม่ 

สร้างจากผงพุทธคุณ และมวลสารศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่ครูบาพิรุณได้เก็บรวบรวมไว้ผสมกับมวลสารเก่าของหลวงปู่โต๊ะ 

ที่เหลือจากการสร้างพระปิดตา รุ่นแรก วัดชัยมงคล เมื่อครั้งที่หลวงปู่โต๊ะ ได้มาสร้างพระปี 2522 ซึ่งหลวงปู่โต๊ะได้บรรจุกรุไว้ที่วัดชัยมงคล

 

ครูบาพิรุณท่านได้ผสมผงพุทธคุณ และมวลสารศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ กดพิมด้วยมือท่านเอง ภายในวัดชัยมงคล ตามฤกษ์ที่กำหนดไว้ ตามแบบโบราณาจารย์ทุกประการ

 

ครูบาพิรุณ สิริจันโท วัดชัยมงคล ได้ตั้งเครื่องบวงสรวง ทำพิธีปลุกพระขุนแผน กุมารทอง สาริกาเรียกทรัพย์  เริ่มโดยการอ่านโองการอัญเชิญเทพเทวดา ครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา และเจ้าของตำราพระเวทย์ต่างๆ ที่ท่านได้เล่าเรียนมา ที่สถิตอยู่ในโลกทิพย์ ทั้งหมด ตลอดจนดวงจิตของขุนแผน และสาริกามาในป่าหิมพานต์ ให้ช่วยปลุกเสก และประสิทธิ์ให้พระขุนแผน กุมารทอง สาริกาเรียกทรัพย์ นี้จงมีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์

 

หลังจากนั้นครูบาพิรุณกำหนดจิตนิมิตถึงพระขุนแผน กุมารทอง สาริกาเรียกทรัพย์ที่ปลุกเสก ทำการตั้งธาตุสี่ สวดเรียกธาตุ เสกอาการ 32 ประกอบด้วย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ บทสวดเรียกธาตุ หมายถึงอาการ 32 ร่างกาย อวัยวะ ตามคติพุทธศาสนา จำแนกเป็นธาตุ 4 ปฐวีธาตุ (ธาตุดิน) อาโปธาตุ (ธาตุน้ำ) เตโชธาตุ (ธาตุไฟ) และวาโยธาตุ (ธาตุลม) ธาตุ 4 มี 2 ธาตุ สามารถจับต้องได้ คือ ปฐวีธาตุ กับอาโปธาตุ ปฐวีธาตุเป็นธาตุที่แข็ง มี 19 อย่าง ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า กับมันสมองอีก 1 อย่าง รวมเป็นทั้งหมด 20 อย่าง ส่วนอาโปธาตุเป็นธาตุที่มีลักษณะเอิบอาบ มี 12 อย่าง 

ทำการเรียกสูตรเรียกนาม เรียกจิต กุมารทอง ให้มาสถิตในพระขุนแผน ให้มีอิทธิฤทธิ์ ปลุกเสกต่อจนเกิดนิมิต ว่ากุมารทองนั้นสามารถเคลื่อนไหวไปมา ดุจดั่งมีชีวิตจริงๆ จากนั้นได้เสกต่อด้วยมนต์คาถาต่าง ๆ เช่น คาถาขุนแผนมหาเสน่ห์ คาถาสาริกาเรียกทรัพย์ คาถาสาลิกามหาเสน่ห์ คาถาสาริกาลิ้นทอง  คาถาเมตา มหานิยม คาถามาหาโชค คาถามหาลาภ คาถาค้าขายดี คาถาป้องกันภัยตราย คาถาแล้วคลาด คาถากันผีและคุณไสย ลมเพ ลมพัดต่างๆ  และมนต์ถาถาสำคัญๆ อีกมายมาย ตามแบบโบราณล้านนาที่ท่านได้รับสืบทอดมาจากครูบาอาจารย์ จากรุ่นสู่รุ่น จนครบสูตรถูกต้องตามตำรา ที่ท่านได้ร่ำเรียนจากครูบาอาจารย์ ทุกประการ จนมั่นใจว่าเข้มขลัง ใช้งานได้แล้ว จึงได้ออกให้สาธุชนได้ร่วมบุญบูชา

 

 

คาถาปลุกพระขุนแผน กุมารทอง สาริกาเรียกทรัพย์

(ตั้งนะโม 3 จบ)

“กุมาโรมามะมะ เอหิจิตตัง ปิยังมะมะ 

โอมฟ้าฟื้นเจริญศรี ศรีกูงามเหมือนขุนแผน แขนกูงามเหมือนแขนพระนารายณ์ 

กายกูงามเหมือนกายพระพรหม ขนกูงามเหมือนขนนกกาน้ำ 

นะรำไรรักใคร่เห็นหน้า โมละรวยช่วยพามา พุทถามหา ธาร้องทัก ยะกวักมือ 

นะกะโรโหติ จงมาบังเกิดเป็นนะเมตตา ซื้อง่ายขายดีมีกำไร ซื้อง่ายขายคล่องมีเงินมีทองเหลือกินเหลือใช้” 

 

คาถาบูชา "สาริกาเรียกทรัพย์"

ตั้งนะโม 3 จบ

พุทธา อะเนนา มะลิยา สุสังคะเยมิ 

พุทธา อิริมะลิยา สุสังคะเยมิ 

พุทธา อิรปะโย เคมะคุณนะ 

ปักเขสะมะมิ อุนาโลมา ปันนะ วิชายะเต

 

===================================================

 

ความเป็นมา "สาริกาเรียกทรัพย์”

มหามนตรา สาริกาคู่ เรียกทรัพย์

วิชานี้สืบทอดตำราจากรุ่นสู่รุ่น และยังมีอยู่อีกความเชื่อหนึ่งทียังคู่กับคนไทยมาจนถึงบัจจุบันนั้นก็คือ "สาริกา"

 

"สาริกาคู่" เป็นเครื่องรางของขลังที่ใช่ เสริมเสน่ห์ เมตตา โชคลาภ พูดอะไรใครก็ชอบ พูดอะไรใครก็หลง พูดอะไรใครก็เชื่อ เรามักได้ยินข่าวคนดังๆคนมีหน้าที่การงานดีมักจะไปลงคาถา "สาริกา"เพื่อเสริมสร้างเสน่ห์ให้กับตนเองจะได้มีงาน มีเงิน มีคนนิยมชมชอบ 

 

ตามความเชื่อศาสตร์โบราณอดีตกาลผ่านมา "สาริกา"เป็นนกชนิดหนึ่งที่มีเสียงไพเราะและจะส่งเสียงได้ไพเราะที่สุดในตอนช่วงหาคู่"สาริกา"คือนกในป่าหิมพานต์ใครได้ยินเสียงมักจะหลงไหล 

 

คนโบราณจึงนำมาสร้างเป็นเครื่องรางของขลังเป็นรูปนกสาริกาเพื่อใช้ในด้านเมตตามหาเสน่ห์ เมื่อคนได้ยินเสียงของเราได้ยินวาจาของเรามักจะย่อมเป็นที่รักใครแก่ผู้ได้ยินและพบเห็น หากผู้ใดได้นำไว้มาบูชามักจะเกิดโชคลาภ ได้สมหวังดั่งปรารถนา ค้าขายก็ดีนักแล

 

===================================================

 

 

==============================

 

ประวัติครูบาพิรุณ สิริจันโท วัดชัยมงคล จ.เชียงใหม่

 

ครูบาพิรุณ บวชตั้งแต่เป็นสามเณรในปี พ.ศ.2519 และได้เรียนนักธรรมจนสอบนักธรรมชั้นตรี นักธรรมโท และนักธรรมเอกได้ตามลำดับ

เมื่อคราวที่วัดจัดงานปริวาสกรรม จึงได้พบกับอาจารย์วิรัตน์ จัตตมโล เริ่มสนใจพระกรรมฐาน นั่งสมาธิจนลืมฉันข้าว ฉันน้ำ

และก็ได้ออกเดินธุดงค์กับอาจารย์วิรัตน์ อยู่หลายปี ตอนที่ยังเป็นสามเณร

 

และก็ได้พบกับพระอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้กับสามเณรพิรุณ

ก็คือ หลวงปู่กลั่น อินทธัมโม (ฉายา ตาเรดาร์ ตาทิพย์) แห่งวัดทุ่งศรีน้อย อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด สามเณรพิรุณตั้งใจเรียนวิชาทุกอย่างที่หลวงปู่สอนให้จนเป็นที่พอใจของหลวงปู่

แล้วก็เดินธุดงค์กับหลวงปู่มาที่เขาวงพระจันทร์ จ.ลพบุรี และก็เดินธุดงค์ไปทั่วตามที่หลวงปู่พาไป สามเณรพิรุณคิดถึงพ่อแม่เลยขอเดินทางกับมาที่เชียงราย

แต่การกลับมาคราวนี้ทำให้พ่อแม่แปลกใจ เนื่องจากไม่กลับไปอยู่วัดแต่กลับไปอยู่ที่ป่าช้า สาเหตุก็คือตอนไปธุดงค์ที่ลำปาง ไปเรียนรู้กับหลวงปู่เกษม เขมโก

และท่านก็ได้แนะนำให้สามเณรไปฝึกจิตอยู่ในที่เงียบสงบ และไม่มีที่ไหนที่เงียบและเหมาะกับการฝึกจิตได้เท่ากับป่าช้าอีกแล้ว

 

ครั้นสามเณรพิรุณได้กลับมาที่เชียงรายและได้ปฏิบัติตามคำสอนของหลวงปู่เกษมแนะนำ

และในช่วงที่กำลังอยู่ที่ป่าช้านั้น ก็ได้มีพระรูปหนึ่งมาชวนให้ไปหาหลวงปู่แหวน

พอไปพบท่านแล้ว ท่านก็บอกว่า “ให้บวชนานๆ เด้อ” สามเณรพิรุณรับปาก พออายุครบบวชจึงได้อุปสมบทโดยมี พระครูสีลนันทคุณ วัดสีลาอาสน์ เป็นพระอุปัชฌาย์

พระครูสีลาจารโสภิต (คำบาง อชิโต) วัดธัมมิกาวาส เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการดวงแก้ว ฐิติวณฺโณ วัดสันติวัน เป็นพระอนุสาวนาจารย์

และได้เดินธุดงค์ไปประเทศพม่า ศึกษาวิชาต่างๆ ที่ตัวเองชอบ และกลับมาวัดชัยมงคล จ.เชียงใหม่ จนเป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2533 จนถึงปัจจุบัน

 

===================================================

 

ข้อห้ามเมื่อบูชาพระขุนแผน กุมารทอง สาริกาเรียกทรัพย์

1.ให้รักษาศีลข้อ 3 ให้เคร่งครัด ห้ามเป็นชู้  ผิดเมีย ผิดผัวบุคคลอื่น

2. ห้ามบ้วนน้ำลายลงโถส้วม จะทำให้วาจาจะเสื่อม

3. ห้ามถมน้ำลายลงดิน เพราะถือเป็นการลบหลู่พระแม่ธรณี อันเป็นสิ่งไม่สมควร ทำให้เสื่อมเวทย์

4. ห้ามพูดจา ด่าทอ ลบหลู่บุพการี ทั้งของตนเองและผู้อื่นจะทำให้อับจน หมดหนทาง บูชาวัตถุมงคลใดก็ไม่เกิดผลใดๆ

5. ห้ามพูดจาลบหลู่อาจารย์ ทั้งของตนเองและผู้อื่น เพราะถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติ อกตัญญูต่อครูบาอาจารย์อย่างร้ายแรง