จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | ไม่จำกัด ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | พระปิดตา พระสังกัจจายน์ พระสีวลี พระอุปคุต |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
พระปิดตา หลังยันต์ดวง ครูบาพิรุณ สิริจันโท วัดชัยมงคล จ.เชียงใหม่
พระปิดตา หลังยันต์ดวง ครูบาพิรุณ สิริจันโท วัดชัยมงคล จ.เชียงใหม่
สร้างจากผงพุทธคุณ และมวลสารศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่ครูบาพิรุณได้เก็บรวบรวมไว้ ผสมกับมวลสารเก่าของหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
ที่เหลือจากการสร้างพระปิดตา รุ่นแรก วัดชัยมงคล เมื่อครั้งที่หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ได้มาสร้างพระปี 2522 ซึ่งหลวงปู่โต๊ะได้บรรจุกรุไว้ที่วัดชัยมงคล
ซึ่งครูบาพิรุณท่านได้เรียนวิชาการสร้าง พระปิดตา มาจากหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี เมื่อคราวที่หลวงปู่โต๊ะ ได้มาสร้างพระปิดตา รุ่นแรก วัดชัยมงคล ในครั้งนั้น
พุทธคุณครบทุกด้าน ทั้งเมตตามหานิยมสูงมาก หนุนดวง ฟื้นดวงชะตาให้กลับจากร้ายกลายเป็นดี มีโชคลาภ ร่มเย็นเป็นสุข ขับไล่เสนียดจัญไร แคล้วคลาด ป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง
คาถาบูชาพระปิดตา
นะโม ๓ จบ
คะวัมปะติ จะ มหาเถโร ลาภะ ลาโภ นิรันตะรัง
คะวัมปะติ จะ มหาเถรัง ลาภะ สุขัง ภะวันตุเม
สวด 3-7-9 จบ
==============================
พุทธคุณ ยันต์ดวง (ยันต์สุกิตติมา)
ยันต์สุกิตติมา บ้างก็เรียกกันว่ายันต์ดวง
ยันต์สุกิตติมา มีอีกชื่อว่า “ยันต์มหาละลวย”
ยันต์นี้มีพุทธคุณทางด้านหนุนดวง ฟื้นดวงชะตาให้กลับจากร้ายกลายเป็นดี ให้ความเมตตามหานิยมสูงมาก และยังมีอนุภาพในการขับไล่เสนียดจัญไรด้วย เรียกได้ว่ามีทั้งรุกและรับในยันต์เดียวกันเลย
ใครได้เห็นยันต์นี้ครั้งแรกก็รู้ได้ทันทีว่า ไม่ใช่ยันต์ขั้นพื้นฐานแน่นอน มีอักขระเลขยันต์อยู่เต็มพื้นที่เหรียญ และมีสัญลักษณ์แทนองค์พระอยู่ด้านใน เปรียบได้ดั่งพระอรหันต์ที่ประจำอยู่ตามทิศต่างๆ
คาถาที่ใช้เดินอักขระภายในยันต์ จะใช้คาถา “สุกิตติมา สุภาจาโร ....” ซึ่งในสมัยโบราณจะเรียกคาถานี้ว่า “วัวกินนมเสือ หนูดูดนมแมว”
ชื่อเดิมของคาถาบทนี้ที่เรียกกันว่า “วัวกินนมเสือ หรือหนูดูดนมแมว” ก็เพื่อจะสื่อให้เห็นว่า ขนาดเสือที่เป็นสัตว์ดุร้าย เห็นวัวเป็นอาหาร หรือคู่อาฆาตที่เป็นศัตรูกัน
เมื่อโดนอนุภาพของคาถานี้เข้าไป ก็ยังเชื่องขนาดที่ว่า วัวสามารถเข้าไปดูดนมเสือได้ หรือหนูที่เป็นคู่อาฆาตกับแมวยังสามารถเข้าไปดูดนมกันได้
คาถาสุกิตติมา
ตั้งนะโม ๓ จบ
สุกิตติมา สุภาจาโร
สุสีละวา สุปาคะโต
ยัสสะสิมา จะเจธิโร
เกสะโรวา อะสัมภิโต
====================================
พระปิดตา หรือพระควัม หรือพระควัมปติ
เป็นพระเครื่องที่ได้รับความนิยม หวงแหน และใฝ่หามาบูชากันมาก ด้วยเชื่อว่าพระปิดตา มีพุทธคุณ ครบถ้วน ทั้งแคล้วคลาด ปลอดภัย และพุทธคุณทางเมตตา ค้าขาย โชคลาภ อย่างหลังคือ พุทธคุณทางเมตตานั้นมีความศรัทธามาก ตามตำนานว่า พระควัมปติหมายถึง พระสังกัจจายนะ หมายถึง พระมหากัจจายนะ พระสาวกของพระพุทธเจ้า
ประวัติความเป็นมาของพระปิดตานั้น มีอยู่ 2 เรื่องด้วยกัน เนื่องจากพระปิดตานั้นมีอีกชื่อว่า พระควัมปติ
(บ้างก็เรียกว่า ภควัมบดี หรือ ภควัมปติ)
ซึ่งมีพระสาวกอยู่ 2 องค์ที่ถูกเรียกขานด้วยนามนี้ในสมัยพุทธกาล ซึ่งมีลาภเสมอเหมือน พระสีวลี เเละมีปัญญาเเละมีฤทธิ์มาก
......
ตำนานและประวัติของ พระปิดตา เรื่องที่ 1
พระควัมปติ คือ พระมหากัจจายนะ ผู้มีรูปงดงามคล้ายพระพุทธเจ้า
พระควัมบดี หรือ พระควัมปติ คือนามหนึ่งของพระมหากัจจายนะ หนึ่งในพระอรหันต์สมัยพุทธกาล ท่านเป็นบุตรของพราหมณ์ตระกูลกัจจายนะ ผู้เป็นปุโรหิต (ที่ปรึกษา) ของพระเจ้าจัณฑปัชโชต ในกรุงอุชเชนี นอกจากท่านจะมีความเฉลียวฉลาด สามารถศึกษาอะไรได้รวดเร็วแล้ว ท่านยังมีรูปกายที่งดงาม มีผิวพรรณดั่งทองคำอีกด้วย
ต่อมาท่านได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าจนเกิดความเลื่อมใสและสำเร็จเป็นพระอรหันต์ จึงได้อุปสมบทด้วยวิธีเอหิภิกขุสัมปทา (พระพุทธเจ้าทำการบวชให้) และพระพุทธเจ้าทรงยกย่องให้เป็นเอตทัคคะในทางอธิบายความย่อให้พิสดาร คือมีความสามารถเป็นเลิศในการย่อพระธรรมให้สั้นและเข้าใจง่าย
ด้วยความที่ท่านมีรูปงามมาก ทำให้หลายคนมักเข้าใจผิดว่าท่านคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเชื่อกันว่า "พระภควัมปติ" ที่ผู้คนเรียกขานท่านนั้น มีความหมายว่า "ผู้มีความงามละม้ายเหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้า" นั่นเอง นอกจากคนจะเข้าใจผิดแล้ว บางคนยังหลงใหลในรูปของท่านจนก่อกรรมโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเห็นโทษเช่นนี้แล้ว พระมหากัจจายนะจึงทรุดองค์ลงนั่งคู้บัลลังก์ ยกหัตถ์ขึ้นปิดพระพักตร์ แล้วอธิษฐานจิตเนรมิตให้ร่างกลายเป็นอ้วน เตี้ย พุงพลุ้ยนับแต่นั้นเป็นต้น
ตำนานและประวัติของ พระปิดตา เรื่องที่ 2
พระควัมปติ คือ พระควัมปติเถระ ผู้เป็นสหายของพระยสเถระ
อีกความเชื่อหนึ่งก็คือ พระปิดตา ก็คือ พระควัมปติเถระ ผู้เป็นหนึ่งในพระอสีติมหาสาวก 80 องค์ (พระสาวกผู้ยิ่งใหญ่ สำคัญ และเป็นภิกษุผู้บรรลุธรรมขั้นสูงสุด คือพระอรหัตผล) เดิมท่านเป็นบุตรในตระกูลเศรษฐี และเป็นสหายกับยสมานพ (อ่านว่า ยะสะมานพ) ต่อมาเมื่อไดบรรพชาเป็นพระภิกษุสงฆ์และได้ฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนบรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมกับสหายท่านอื่นๆ
นอกจากนี้พระควัมปติเถระท่านยังมีฤทธิ์มาก โดยความในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า ขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จไปยังเมืองสาเกต แล้วประทับอยู่ในพระวิหารอัญชนวัน ปรากฏว่าเสนาสนะมีไม่เพียงพอ ภิกษุจำนวนมากจึงต้องพักอยู่ที่เนินทรายริมแม่น้ำสรภู ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพระวิหาร แต่ทว่าในคืนนั้นเอง ก็เกิดเหตุน้ำหลากในยามวิกาล ทำให้สามเณรส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ พระพุทธเจ้าทรงทราบเหตุแล้วจึงตรัสให้พระควัมปติเถระหยุดกระแสน้ำนั้นไว้ ซึ่งพระควัมปติเถระก็สามารถใช้กำลังของฤทธิ์หยุดกระแสน้ำนั้นไว้ได้เป็นที่อัศจรรย์
ถึงแม้ว่ายังไม่เป็นที่แน่ชัดเต็มร้อยว่าแท้จริงแล้ว พระปิดตา หรือ พระควัมปติ นั้นมีที่มาจากพระสาวกองค์ใดกันแน่ แต่ที่แน่นอนก็คือล้วนแต่เป็นมงคลทั้งสิ้น เพราะลักษณะของ พระปิดตา นั้นแสดงธรรมให้เห็นได้ดังนี้
ลักษณะของพระปิดตา และพุทธคุณของพระปิดตา
ร่างกายของมนุษย์ มี "ทวาร" หมายถึง "ประตู" แห่งการเข้าออก 9 ทาง ได้แก่ ตา 2 จมูก 2 หู 2 ปาก 1 รวมถึงช่องทางขับถ่ายด้านหน้าและด้านหลังอีก 2 รวมเป็น ทวารทั้ง 9
ลักษณะของพระปิดตา จึงสื่อถึงปริศนาธรรมในการปิดทวารทั้ง 9 คือปิดทางเข้าของกิเลสทั้งหลาย นั่นเอง โบราณจึงถือว่าพระเครื่องในรูปแบบของพระปิดตานั้น จะเป็นเครื่องระลึกให้เราสำรวมระวังกายและใจไม่ให้เปิดรับกิเลสเข้ามาโดยง่าย และยังเชื่อกันว่ามีพุทธคุณในการปิดกั้นสิ่งไม่ดี รวมถึงภัยอันตรายต่างๆ อีกด้วย
==============================
ประวัติครูบาพิรุณ สิริจันโท วัดชัยมงคล จ.เชียงใหม่
ครูบาพิรุณ บวชตั้งแต่เป็นสามเณรในปี พ.ศ.2519 และได้เรียนนักธรรมจนสอบนักธรรมชั้นตรี นักธรรมโท และนักธรรมเอกได้ตามลำดับ
เมื่อคราวที่วัดจัดงานปริวาสกรรม จึงได้พบกับอาจารย์วิรัตน์ จัตตมโล เริ่มสนใจพระกรรมฐาน นั่งสมาธิจนลืมฉันข้าว ฉันน้ำ
และก็ได้ออกเดินธุดงค์กับอาจารย์วิรัตน์ อยู่หลายปี ตอนที่ยังเป็นสามเณร
และก็ได้พบกับพระอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้กับสามเณรพิรุณ
ก็คือ หลวงปู่กลั่น อินทธัมโม (ฉายา ตาเรดาร์ ตาทิพย์) แห่งวัดทุ่งศรีน้อย อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด สามเณรพิรุณตั้งใจเรียนวิชาทุกอย่างที่หลวงปู่สอนให้จนเป็นที่พอใจของหลวงปู่
แล้วก็เดินธุดงค์กับหลวงปู่มาที่เขาวงพระจันทร์ จ.ลพบุรี และก็เดินธุดงค์ไปทั่วตามที่หลวงปู่พาไป สามเณรพิรุณคิดถึงพ่อแม่เลยขอเดินทางกับมาที่เชียงราย
แต่การกลับมาคราวนี้ทำให้พ่อแม่แปลกใจ เนื่องจากไม่กลับไปอยู่วัดแต่กลับไปอยู่ที่ป่าช้า สาเหตุก็คือตอนไปธุดงค์ที่ลำปาง ไปเรียนรู้กับหลวงปู่เกษม เขมโก
และท่านก็ได้แนะนำให้สามเณรไปฝึกจิตอยู่ในที่เงียบสงบ และไม่มีที่ไหนที่เงียบและเหมาะกับการฝึกจิตได้เท่ากับป่าช้าอีกแล้ว
ครั้นสามเณรพิรุณได้กลับมาที่เชียงรายและได้ปฏิบัติตามคำสอนของหลวงปู่เกษมแนะนำ
และในช่วงที่กำลังอยู่ที่ป่าช้านั้น ก็ได้มีพระรูปหนึ่งมาชวนให้ไปหาหลวงปู่แหวน
พอไปพบท่านแล้ว ท่านก็บอกว่า “ให้บวชนานๆ เด้อ” สามเณรพิรุณรับปาก พออายุครบบวชจึงได้อุปสมบทโดยมี พระครูสีลนันทคุณ วัดสีลาอาสน์ เป็นพระอุปัชฌาย์
พระครูสีลาจารโสภิต (คำบาง อชิโต) วัดธัมมิกาวาส เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการดวงแก้ว ฐิติวณฺโณ วัดสันติวัน เป็นพระอนุสาวนาจารย์
และได้เดินธุดงค์ไปประเทศพม่า ศึกษาวิชาต่างๆ ที่ตัวเองชอบ และกลับมาวัดชัยมงคล จ.เชียงใหม่ จนเป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2533 จนถึงปัจจุบัน
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |