เหรียญเสมา รุ่นแรก หลังพระปิดตาพารวย ครูบาพิรุณ วัดชัยมงคล จ.เชียงใหม่
++ เนื้อตะกั่ว
++ (( เหรียญดีมีประสบการณ์ ))
++ มีรอยจาร ด้านหลัง
++ ตอกโค๊ด และ คำว่ารวยชัดเจน
++ ใหม่ ไม่ผ่านการใช้ สภาพสวย
++ เลี่ยมกรอบพร้อมใช้
*** ศิษย์ ****
++ หลวงปู่กลั่น อินทธัมโม ฉายาตาเรดาร์ ตาทิพย์ แห่งวัดทุ่งศรีน้อย จ.ร้อยเอ็ด
++ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
++ หลวงพ่อเกษม เขมโก
++ หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง หลานศิษย์สมเด็จลุน ประเทศลาว
==========================
#ตามตำราโบราณยกให้ตะกั่วเป็นโลหะที่ซึมซับพุทธคุณได้ดีกว่าโลหะอื่นเป็นโลหะเนื้อเย็นอีกด้วย โดยหลวงปู่ดู่ ยืนยันว่า “พระเนื้อตะกั่ว” เสกแล้วสามารถอัดพลังเข้าไปได้ดีที่สุด
+++++++++++++++++++++++++++++
คาถาบูชาพระปิดตา
นะโม ๓ จบ
คะวัมปะติ จะ มหาเถโร ลาภะ ลาโภ นิรันตะรัง
คะวัมปะติ จะ มหาเถรัง ลาภะ สุขัง ภะวันตุเม
สวด 3-7-9 จบ
====================================
พระปิดตา หรือพระควัม หรือพระควัมปติ
เป็นพระเครื่องที่ได้รับความนิยม หวงแหน และใฝ่หามาบูชากันมาก ด้วยเชื่อว่าพระปิดตา มีพุทธคุณ ครบถ้วน ทั้งแคล้วคลาด ปลอดภัย และพุทธคุณทางเมตตา ค้าขาย โชคลาภ อย่างหลังคือ พุทธคุณทางเมตตานั้นมีความศรัทธามาก ตามตำนานว่า พระควัมปติหมายถึง พระสังกัจจายนะ หมายถึง พระมหากัจจายนะ พระสาวกของพระพุทธเจ้า
ประวัติความเป็นมาของพระปิดตานั้น มีอยู่ 2 เรื่องด้วยกัน เนื่องจากพระปิดตานั้นมีอีกชื่อว่า พระควัมปติ
(บ้างก็เรียกว่า ภควัมบดี หรือ ภควัมปติ)
ซึ่งมีพระสาวกอยู่ 2 องค์ที่ถูกเรียกขานด้วยนามนี้ในสมัยพุทธกาล ซึ่งมีลาภเสมอเหมือน พระสีวลี เเละมีปัญญาเเละมีฤทธิ์มาก
......
ตำนานและประวัติของ พระปิดตา เรื่องที่ 1
พระควัมปติ คือ พระมหากัจจายนะ ผู้มีรูปงดงามคล้ายพระพุทธเจ้า
พระควัมบดี หรือ พระควัมปติ คือนามหนึ่งของพระมหากัจจายนะ หนึ่งในพระอรหันต์สมัยพุทธกาล ท่านเป็นบุตรของพราหมณ์ตระกูลกัจจายนะ ผู้เป็นปุโรหิต (ที่ปรึกษา) ของพระเจ้าจัณฑปัชโชต ในกรุงอุชเชนี นอกจากท่านจะมีความเฉลียวฉลาด สามารถศึกษาอะไรได้รวดเร็วแล้ว ท่านยังมีรูปกายที่งดงาม มีผิวพรรณดั่งทองคำอีกด้วย
ต่อมาท่านได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าจนเกิดความเลื่อมใสและสำเร็จเป็นพระอรหันต์ จึงได้อุปสมบทด้วยวิธีเอหิภิกขุสัมปทา (พระพุทธเจ้าทำการบวชให้) และพระพุทธเจ้าทรงยกย่องให้เป็นเอตทัคคะในทางอธิบายความย่อให้พิสดาร คือมีความสามารถเป็นเลิศในการย่อพระธรรมให้สั้นและเข้าใจง่าย
ด้วยความที่ท่านมีรูปงามมาก ทำให้หลายคนมักเข้าใจผิดว่าท่านคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเชื่อกันว่า "พระภควัมปติ" ที่ผู้คนเรียกขานท่านนั้น มีความหมายว่า "ผู้มีความงามละม้ายเหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้า" นั่นเอง นอกจากคนจะเข้าใจผิดแล้ว บางคนยังหลงใหลในรูปของท่านจนก่อกรรมโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเห็นโทษเช่นนี้แล้ว พระมหากัจจายนะจึงทรุดองค์ลงนั่งคู้บัลลังก์ ยกหัตถ์ขึ้นปิดพระพักตร์ แล้วอธิษฐานจิตเนรมิตให้ร่างกลายเป็นอ้วน เตี้ย พุงพลุ้ยนับแต่นั้นเป็นต้น
ตำนานและประวัติของ พระปิดตา เรื่องที่ 2
พระควัมปติ คือ พระควัมปติเถระ ผู้เป็นสหายของพระยสเถระ
อีกความเชื่อหนึ่งก็คือ พระปิดตา ก็คือ พระควัมปติเถระ ผู้เป็นหนึ่งในพระอสีติมหาสาวก 80 องค์ (พระสาวกผู้ยิ่งใหญ่ สำคัญ และเป็นภิกษุผู้บรรลุธรรมขั้นสูงสุด คือพระอรหัตผล) เดิมท่านเป็นบุตรในตระกูลเศรษฐี และเป็นสหายกับยสมานพ (อ่านว่า ยะสะมานพ) ต่อมาเมื่อไดบรรพชาเป็นพระภิกษุสงฆ์และได้ฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนบรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมกับสหายท่านอื่นๆ
นอกจากนี้พระควัมปติเถระท่านยังมีฤทธิ์มาก โดยความในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า ขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จไปยังเมืองสาเกต แล้วประทับอยู่ในพระวิหารอัญชนวัน ปรากฏว่าเสนาสนะมีไม่เพียงพอ ภิกษุจำนวนมากจึงต้องพักอยู่ที่เนินทรายริมแม่น้ำสรภู ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพระวิหาร แต่ทว่าในคืนนั้นเอง ก็เกิดเหตุน้ำหลากในยามวิกาล ทำให้สามเณรส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ พระพุทธเจ้าทรงทราบเหตุแล้วจึงตรัสให้พระควัมปติเถระหยุดกระแสน้ำนั้นไว้ ซึ่งพระควัมปติเถระก็สามารถใช้กำลังของฤทธิ์หยุดกระแสน้ำนั้นไว้ได้เป็นที่อัศจรรย์
ถึงแม้ว่ายังไม่เป็นที่แน่ชัดเต็มร้อยว่าแท้จริงแล้ว พระปิดตา หรือ พระควัมปติ นั้นมีที่มาจากพระสาวกองค์ใดกันแน่ แต่ที่แน่นอนก็คือล้วนแต่เป็นมงคลทั้งสิ้น เพราะลักษณะของ พระปิดตา นั้นแสดงธรรมให้เห็นได้ดังนี้
ลักษณะของพระปิดตา และพุทธคุณของพระปิดตา
ร่างกายของมนุษย์ มี "ทวาร" หมายถึง "ประตู" แห่งการเข้าออก 9 ทาง ได้แก่ ตา 2 จมูก 2 หู 2 ปาก 1 รวมถึงช่องทางขับถ่ายด้านหน้าและด้านหลังอีก 2 รวมเป็น ทวารทั้ง 9
ลักษณะของพระปิดตา จึงสื่อถึงปริศนาธรรมในการปิดทวารทั้ง 9 คือปิดทางเข้าของกิเลสทั้งหลาย นั่นเอง โบราณจึงถือว่าพระเครื่องในรูปแบบของพระปิดตานั้น จะเป็นเครื่องระลึกให้เราสำรวมระวังกายและใจไม่ให้เปิดรับกิเลสเข้ามาโดยง่าย และยังเชื่อกันว่ามีพุทธคุณในการปิดกั้นสิ่งไม่ดี รวมถึงภัยอันตรายต่างๆ อีกด้วย
++++±++++++++++++++++++++
(( ประวัติครูบาพิรุณ สิริจันโท ))
วัดชัยมงคล จ.เชียงใหม่
ครูบาพิรุณ บวชตั้งแต่เป็นสามเณรในปี พ.ศ.2519 และได้เรียนนักธรรมจนสอบนักธรรมชั้นตรี นักธรรมโท และนักธรรมเอกได้ตามลำดับ เมื่อคราวที่วัดจัดงานปริวาสกรรม จึงได้พบกับอาจารย์วิรัตน์ จัตตมโล เริ่มสนใจพระกรรมฐาน นั่งสมาธิจนลืมฉันข้าว ฉันน้ำ
และก็ได้ออกเดินธุดงค์กับอาจารย์วิรัตน์ อยู่หลายปี ตอนที่ยังเป็นสามเณร
และก็ได้พบกับพระอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้กับสามเณรพิรุณ ก็คือ หลวงปู่กลั่น อินทธัมโม (ฉายา ตาเรดาร์ ตาทิพย์) แห่งวัดทุ่งศรีน้อย อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด สามเณรพิรุณตั้งใจเรียนวิชาทุกอย่างที่หลวงปู่สอนให้จนเป็นที่พอใจของหลวงปู่
แล้วก็เดินธุดงค์กับหลวงปู่มาที่เขาวงพระจันทร์ จ.ลพบุรี และก็เดินธุดงค์ไปทั่วตามที่หลวงปู่พาไป สามเณรพิรุณคิดถึงพ่อแม่เลยขอเดินทางกับมาที่เชียงราย แต่การกลับมาคราวนี้ทำให้พ่อแม่แปลกใจ เนื่องจากไม่กลับไปอยู่วัดแต่กลับไปอยู่ที่ป่าช้า สาเหตุก็คือตอนไปธุดงค์ที่ลำปาง ไปเรียนรู้กับหลวงปู่เกษม เขมโก และท่านก็ได้แนะนำให้สามเณรไปฝึกจิตอยู่ในที่เงียบสงบ และไม่มีที่ไหนที่เงียบและเหมาะกับการฝึกจิตได้เท่ากับป่าช้าอีกแล้ว
ครั้นสามเณรพิรุณได้กลับมาที่เชียงรายและได้ปฏิบัติตามคำสอนของหลวงปู่เกษมแนะนำ และในช่วงที่กำลังอยู่ที่ป่าช้านั้น ก็ได้มีพระรูปหนึ่งมาชวนให้ไปหาหลวงปู่แหวน พอไปพบท่านแล้ว ท่านก็บอกว่า “ให้บวชนานๆ เด้อ” สามเณรพิรุณรับปาก พออายุครบบวชจึงได้อุปสมบทโดยมี พระครูสีลนันทคุณ วัดสีลาอาสน์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสีลาจารโสภิต (คำบาง อชิโต) วัดธัมมิกาวาส เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการดวงแก้ว ฐิติวณฺโณ วัดสันติวัน เป็นพระอนุสาวนาจารย์
และได้เดินธุดงค์ไปประเทศพม่า ศึกษาวิชาต่างๆ ที่ตัวเองชอบ และกลับมาวัดชัยมงคล จ.เชียงใหม่ จนเป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ ปี 2533 จนถึงปัจจุบัน